31 มกราคม 2550

 

นร.หญิง ม.5 เล่นเน็ตถูกแก๊งหัวตลาดปัตตานีหลอกหายลึกลับ-แม่โวย ตร.ใส่เกียร์ว่าง



ที่มาข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์ 30 มกราคม 2550 13:11 น.


สงขลา – แม่นักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เข้าร้องเรียนสื่อมวลชน ช่วยกระตุ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เร่งสืบค้นหาช่วยเหลือบุตรสาวหลังจากโดนล่อลวงหายออกจากบ้านโดยแก๊งมิจฉาชีพทางเน็ต เผยเคยไปร้องเรียนกับตำรวจแล้ว แต่ถูกทางตำรวจบอกให้ไปสืบหาเอาเอง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30 ม.ค.) เวลาประมาณ 09.45 น.ที่สำนักงานสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ แห่งประเทศไทย เลขที่ 29 ถนนไทยอาคาร อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นางดวงเดือน จงกลุ่ม อายุ 36 ปีอยู่บ้านเลขที่ 29/24 หลังศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ต.อาเนาะรู อ.เมือง จ.ปัตตานี มีอาชีพรับจ้างซักเสื้อผ้า มีฐานะปานกลางได้เข้ามาร้องเรียนด้วยน้ำตานองหน้าพร้อมด้วยการนำภาพถ่ายของ น.ส.โสภิดา โพธิทอง อายุ 17 ปี นักเรียนโรงเรียนเบญจมราชูทิศปัตตานี ศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ว่า เมื่อประมาณ 4 เดือนที่ผ่านมา บุตรสาวชอบไปนั่งเล่นแชตทางอินเทอร์เน็ตที่บ้านใน อ.เมืองปัตตานี

จนกระทั่งมารู้จักกับนายเค (ไม่ทราบนามสกุล) ทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งนายเค เป็นแก๊งใหญ่แก๊งหัวตลาดในตัว จ.ปัตตานี ชอบใช้เน็ตชักชวนหญิงสาวและเด็กผู้หญิงให้หลงเชื่อคำพูดทางเน็ตแล้วก็จะนัดแนะกันไปพบกันที่ต่างจังหวัด หญิงสาวและเด็กผู้หญิงที่นายเค นัดไปพบจะหายไปทุกราย

โดย น.ส.โสภิดา เป็นรายล่าสุดที่ถูกแก๊งเน็ตแก๊งนี้หลอกหลวงให้ไปพบกันที่บริเวณ มอ.หาดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2550 ที่ผ่านมา โดยบอกผู้ปกครองว่า ไปหาหมอที่โรงพยาบาล มอ.หาดใหญ่ แล้ว น.ส.โสภิดา ก็หายออกไปจากบ้านไม่ติดต่อกลับมา

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2550 ที่ผ่านมา นางดวงเดือน ได้เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.วิโรจน์ นวลแก้ว สวส.สภ.อ.หาดใหญ่ พร้อมมอบภาพถ่ายให้กับพนักงานสอบสวน สภ.อ.หาดใหญ่เพื่อช่วยติดตามสืบหาบุตรสาว จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่มีความคืบหน้า

นางดวงเดือน เปิดเผยว่า ได้รับการติดต่อกับบุตรสาวล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2550 โดยนางดวงเดือนเล่าว่าบุตรสาวร้องไห้ ร้องขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นแม่ และเมื่อนางดวงเดือนสอบถามที่อยู่สายโทรศัพท์ก็ถูกตัดไป จึงได้บอกให้พนักงานสอบสวน สภ.อ.หาดใหญ่ ได้รับทราบเพื่อตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์หมายเลขที่โทร.เข้ามาหานางดวงเดือน เพื่อจะสืบหาว่าต้นสายโทรศัพท์โทร.มาจากที่ใดเพื่อพนักงานสอบสวนจะได้ติดตามเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

นางดวงเดือน บอกว่าขณะนี้ตนเป็นทุกข์อย่างมากเพราะห่วงบุตรสาวเป็นอย่างมากถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับและไม่ทราบชะตากรรมของบุตรสาวว่าถูกหลอกลวงไปในทางมิดีมิร้าย หรือถูกทารุณอย่างไรบ้าง จึงได้เข้าร้องเรียนกับสื่อมวลชนเพื่อช่วยให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจหาดใหญ่เร่งสืบค้นหาช่วยเหลือบุตรสาวให้ออกมาจากแก๊งอันตรายแก๊งนี้ ซึ่งมีประวัติอันร้ายกาจเป็นแก๊งรถซิ่ง และธุรกิจที่เปิดเผยไม่ได้ หากจับกุมนายเค (หัวตลาด) ได้จะสามารถขยายผลถึงคดีอื่นๆ อีกหลายคดี

ก่อนหน้านี้ (29 ม.ค.) นางดวงเดือนได้เข้าร้องขอความช่วยเหลือไปที่ พ.ต.ท.สมพร มีสุข รอง ผกก.สส.สภ.อ.เมืองปัตตานี เพื่อให้ช่วยเหลือนำกลุ่มเพื่อนของนายเคซึ่งอยู่ที่หัวตลาดเพื่อสืบหาที่อยู่ของนายเค แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้บอกกับนางดวงเดือน ว่า ให้ไปสืบหาเอาเอง

29 มกราคม 2550

 

โจ๋ไทยรั้งเบอร์1 โชว์ แคมฟร็อก

www.posttoday.com วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2550

โพสต์ทูเดย์ — ตะลึง! เด็กไทยโชว์หวิวผ่านแคมฟร็อกอันดับ 1 ของโลกแซงหน้าสหรัฐ-จีน สมาคมธุรกิจอินเทอร์เน็ตจี้ ไอซีทีเอาจริงแก้ปัญหา

พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน ผู้บัญชาการสำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า จากการติดตามตรวจสอบการใช้งานโปรแกรมแคมฟร็อก ซึ่งเป็นโปรแกรมสนทนาผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มวัยรุ่น ตลอดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาพบว่า ขณะนี้คนไทยกลายเป็นกลุ่มผู้เล่นที่เข้าไปใช้งานโปรแกรมแคมฟร็อกมากเป็นอันดับ 1 ของโลก จากที่เคยติดอยู่ในอันดับ 3 รองจากสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน

ด้าน นายเอกพล สามัตถิยดีกุล กรรมการสมาคมการค้านักธุรกิจผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตไทย กล่าวว่า ปัจจุบันยังพบว่ามีเยาวชนไทยนิยมเข้าไปโชว์ลามกอนาจารในห้องสนทนาแคมฟร็อกทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการโชว์ในห้องต่างประเทศเพื่อป้องกันการตรวจสอบ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าทุกวันในช่วงเวลา 03.00-04.00 น. จะมีหญิงสาวเข้ามาโชว์เปลื้องผ้า ร่วมเพศ ตลอดจนแสดงท่าทางลามกอนาจารมากที่สุด

นายเอกพล กล่าวว่า ต้องการเรียกร้องให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร (ไอซีที) ให้ความสนใจและเอาใจใส่การแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังมากขึ้น และควรจัดเจ้าหน้าที่ 1-2 คนคอยเฝ้า ระวังการกระทำอนาจารในห้องสนทนาของโปรแกรมแคมฟร็อก หากพบว่ามีการโชว์ลามกก็ให้เข้าไปบล็อกทันที ไม่ว่าจะ เป็นห้องของประเทศไทยหรือต่างประเทศ รวมทั้งติดตามการเชื่อมโยงสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อสืบหาตัวผู้แสดงลามก แล้วประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจในการจับกุมให้เป็นตัวอย่าง

“อยากวิงวอนให้กระทรวงไอซีทีมีความจริงใจและพยายามแก้ปัญหามากกว่านี้ เพราะที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจับได้เพียงเจ้าของเซิร์ฟเวอร์ที่เปิดห้องสนทนาลามกเท่านั้น แต่ยังไม่เคยจับผู้โชว์ได้เลย ทำให้เด็กไม่เกรงกลัวและเมื่อโชว์ในห้องสนทนาของไทยไม่ได้ ก็แห่ไปโชว์ในห้องต่างประเทศ” นายเอกพล กล่าว

25 มกราคม 2550

 

ไม่ต้องหนี ถ้าตกเป็นเหยื่อ "คลิปแอบถ่าย"

จากการสัมมนา "คลิปวีดีโอเอ็กซ์กับพฤติกรรมวัยรุ่น” ของนักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้ขึ้นเวทีสัมมนาให้คำแนะนำกับผู้เข้าร่วมฟังการสัมมนาว่าหากโดนแอบถ่ายและนำไปเผยแพร่ให้ตั้งสติให้ดีทำจิตใตให้เข้มแข็งไม่ต้องหลบหนี เพราะ ไม่นานจะมีคลิปวิดีโอใหม่ออกมาและเรื่องราวของตัวเองจะหายไป...


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกันแล้วล่ะว่าหนังโป๊ หากันได้ง่ายกว่า “เหรียญสลึง” นับตั้งแต่พฤติกรรมแลกคลิปโป๊ของวัยรุ่นระบาด สื่ออนาจารแบบไร้สายสามารถดูได้ง่ายตลอดเวลา เพียงกดรับ กดส่ง แลกเปลี่ยนกันทางคลื่นโดยมีทางผ่านเป็นเพียงอากาศธรรมดาๆ ไม่ถึง 30 วินาที คลิปใหม่ๆ ปรากฏขึ้นทันทีอีกหนึ่งก้อปปี้

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกันอีกทีว่าความสะดวกเพียงปลายนิ้วที่ว่า นาทีนี้น่ากลัวยิ่งกว่าระเบิด เพราะมันกลายเป็นภัยเงียบที่ลุกลามสุดๆ ถึงขั้นสร้างวิกฤตทางวัฒนธรรมให้แก่สังคม เพราะ ตอบโจทย์ความต้องการทางธรรมชาติทางด้านเพศ และ “ความอยากรู้อยากเห็น”ของมนุษย์ นั่นคือที่มาของความนิยมอันดับหนึ่งของ “คลิปแอบถ่าย”

นักศึกษาหลักสูตรนิเทศศาตร์มหาบัณฑิต คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตจึงจัดการสัมมนาเรื่อง “คลิปวีดีโอเอ็กซ์กับพฤติกรรมวัยรุ่น” ในสองหัวข้อ หัวข้อแรก “คลิปวีดีโอคืออะไรและคลิปวีดีโอได้รับความนิยมได้อย่างไร” โดย ดร.กิตติ กันภัย และ อ.ภาคภูมิ ชัยศิริประเสริฐ ส่วนหัวข้อที่สอง “คลิปวีดีโอลามกกับวัยรุ่น” โดย นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล และนักศึกษาผู้ทำงานวิจัย เรื่อง“ทัศนคติของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (คลองหก)ที่มีต่อการดูคลิปวีดีโอลามก”

โดยในส่วนของการสัมมนา “คลิปวีดีโอเอ็กซ์กับพฤติกรรมวัยรุ่น” เน้นการนำเสนอข้อมูลทางวิชาการ ความเป็นมาและการใช้งานของคลิปวีดีโอ และผลกระทบของคลิปวีดีโอเอ็กซ์ที่มีต่อสังคมและพฤติกรรมของวัยรุ่นผ่านการนำเสนอข้อมูลจากนักวิชาการหลากหลายแขนง

อาจารย์ภาคภูมิ ชัยศิริประเสริฐ หัวหน้าสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวถึงที่มาของ คลิปวีดีโอว่ามาจากความพยายามที่นำมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนในยุคแห่งข่าวสารแบบเต็มรูปแบบ แต่ลืมเสริมจรรยาบรรณของการทำและการใช้

“สำหรับผม นิยามคำว่า คลิปคือการย่อขนาดของวิดีโอ และที่มาของคลิปก็มาจาก ความพยายามที่จะพัฒนามาเรื่อยๆ จะมองเห็นว่าผู้ผลิตพยายามที่จะให้ความสามารถในการนำเสนอข้อมูล ข่าวสารเป็นไปอย่างเต็มรูปแบบ และประหยัดเวลาในการรับส่ง เพื่อให้เข้ากับความรวดเร็ว และความเป็นยุคแห่งข่าวสาร ด้วยความพยายามพัฒนาที่มุ่งไปแต่นวัตกรรมความสามารถ
แต่วิชาทางจรรยาบรรณแทบไม่มี

เปรียบกับสาขาวิชาทางสังคม จะมีจรรยาบรรณวิชาชีพเยอะแยะไปหมด หากมีการควบคุมตรวจสอบคุณภาพด้านวิชาชีพน่าจะดีกว่านี้ พร้อมเพิ่มเวทีการแสดงออกทางเทคโนโลยีให้กับเยาวชนพอมองถึงวิถีทางสกัดกั้น ตัวผมเองเลยเชื่อว่าทำไม่ได้ หรือทำไปก็ไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง เพราะเทคโนโลยีมันเป็นดาบสองคมอยู่เสมอ เราต้องแก้กันตรงปัญหาครอบครัว

ผมเชื่อว่าคนที่ทำคลิปนั้น ครอบครัวมีปัญหาเป็นส่วนใหญ่ หากบุคลากรทางด้านนี้ ได้ผ่านกระบวนการขัดเกลาผันตัวเองมาช่วยกรองสังคม รวมถึงเยาวชนสร้างเกราะให้ตัวเองด้วย เรื่องที่ห้ามกันไม่ได้อย่างคลิปโป๊ คลิปแอบถ่าย จำพวกนี้คงไม่มีปัญหา เพราะ ทุกคนมีจิตสำนึกเป็นภูมิคุ้มกัน”

ด้าน “ดร. กิตติ กันภัย” อาจารย์ประจำภาควิชาสื่อสารมวลชน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงสาเหตุความนิยมของคลิปวิดีโอเอ็กซ์ โดยเฉพาะคลิปแอบถ่าย ได้รับความนิยมมาก เพราะ หาดูได้ยากแต่เมื่อได้มาสามารถดูได้ง่าย

“ถ้ามองว่า คลิป คือเทคโนโลยีนั่นก็เป็นเทคโนโลยีการตัด ที่ตัดออกมาเฉพาะสาระสำคัญ ไอ้สิ่งที่มนุษย์คิดค้นและนำมาใช้น่าจะเป็นตัวช่วยสร้างเสริมความเจริญด้วยเทคโนโลยี แต่ปัจจุบันเมื่อมีสื่อลามกทางเทคโนโลยีพวกนี้เข้ามา กลับมาลดทอนความเป็นมนุษย์ทุกที

ยิ่งไปกว่านั้นจำพวกของสื่ออนาจาร ที่ริเริ่มมาจากหนังสือ การตูนโป๊ หนังโป๊ และคลิปที่มาจากเทคโนโลยีล่าสุดทางโทรศัพท์มือถือ ก็เหมือนจุดหมายปลายทาง ทั้งสะดวก ง่าย บวกเพิ่มความต้องการที่มากขึ้นของมนุษย์

อย่างความอยากรู้อยากเห็น จำพวก คลิป แอบถ่าย ยิ่งเร้น ยิ่งลับ ยิ่งท้าทาย จึงได้รับความนิยมมาก ยิ่งเป็นแอบถ่ายของบุคคลมีชื่อเสียงหรือคนรู้จักก็ยิ่งมีความน่าสนใจต่อสังคม คลิปจึงคล้ายกับวัตถุที่ทำให้ผู้หญิงเป็นเหมือนเครื่องมือทางเพศ กลายเป็นความป่วยไข้ต่อสังคม”

อย่างไรก็ตาม แม้เทคโนโลยีบนโทรศัพท์มือถือจะเอื้ออำนวยให้สื่ออนาจารเหล่านี้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว แต่ตบมือข้างเดียวไม่ดังฉันใด เทคโนโลยีก็ไม่สามารถเผยแพร่สื่อลามกได้ฉันนั้น หากไม่มี สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “มนุษย์” เป็นผู้กระทำ

นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล กล่าวว่าเรื่องความต้องการสิ่งเร้าทางเพศเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แม้ไม่สามารถควบคุมการเผยแพร่ของคลิปอันเป็นผลกระทบต่อมิติสังคมได้ แต่เราสามารถหันเหความสนใจ พร้อมแนะวิธีการจัดการกับการตื่นตัวทางเพศของวัยรุ่นได้

“เรื่องความต้องการทางเพศเป็นเรื่องของแต่ละคน วัยรุ่นเป็นวัยปกติที่มีความต้องการทางเพศเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ต้องใช้การยับยั้งชั่งใจ โดยใช้สมองส่วนคิดคอยควบคุมสมองส่วนอยาก อย่างลองกำมือสมมติให้นิ้วโป้งเป็นสมองส่วนอยาก หรือ ความต้องการทางเพศ แล้วให้สี่นิ้วที่เหลือเป็นสมองส่วนคิด นิ้วชี้ให้เสมือนเป็นผู้ปกครองที่จะคอยสั่งสอนดูแลขัดเกลา นิ้วกลางให้เป็นอาจารย์ นิ้วนางเป็นเพื่อนๆ ที่จะมาคอยเตือน และนิ้วก้อยคือสื่อที่จะมาคอยกระตุ้น

คือให้มีแต่สื่อดีๆ ควบคุมสมองส่วนอยาก เพราะ ธรรมชาติของวัยรุ่นนั้นมีความต้องการทางเพศอยู่แล้ว ผนวกกับสื่อลามกก็กระจัดกระจายไปหมด อย่างคลิปวีดีโป๊ก็เป็นอะไรที่หาง่าย และผมคิดว่าการหาความสุขในคลิป ระดับหนึ่งไม่ผิด แต่เราก็ควรหาทางออกให้ถูกต้อง หรือหันเหไปสนใจอย่างอื่นก่อนก็ได้”

นอกจากนี้นพ.สุกมล ยังแนะนำทางออกที่ดีที่สุดทางสุดท้าย คือการจัดการกับการตื่นตัวทางเพศของตัวเอง มี 5 ข้อ คือ 1.หลีกเลี่ยงสิ่งเร้า 2. ฝึกข่มใจเมื่อเกิดอารมณ์ 3. หันเหความสนใจไปสู่กิจกรรม 4. มีกิจกรรมทางเพศที่เหมาะสม 5.แปรรูปพลังงานไปสู่กิจกรรมสร้างสรรค์จะดีกว่า

“ผมว่า ครอบครัวมีส่วนช่วยอย่างมาก เพื่อไม่ให้ลูกตัวเองติดเกม ติดกาม ก็ควรต้องปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องเพศที่ถูกต้อง”

สุดท้ายนพ.สุกมลได้กล่าวแนะนำให้กับนักศึกษาที่เข้าร่วมการสัมนาถึงแนวทางการปฏิบัติตัว หากตกเป็นผู้ถูกแอบถ่ายและนำไปเผยแพร่ต่อว่า ให้ทำใจและอยู่เฉยไม่หลบหนี ทำจิตใจให้เข้มแข็งกับสิ่งที่เกิดขึ้น ปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปสักช่วงหนึ่งก็จะมีคลิปตัวใหม่ออกมาและเรื่องราวของตัวก็จะเงียบไปเอง.....

11 มกราคม 2550

 

แคมฟรอก : เทคโนโลยีใหม่ในค่านิยมเดิม

www.saijai.net โทร.0-2886-9991ที่มาข่าวจาก หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ เสาร์ที่ 5 มกราคม 2550

ในรอบปีที่ผ่านมามีข่าวดังๆ ต่อเนื่องอยู่ไม่กี่ข่าว ถ้าในประเด็นการเมืองคงไม่พ้นข่าวการปฏิวัติล้มรัฐบาลทักษิณและข่าวคลื่นใต้น้ำ แต่สำหรับข่าวสังคมกลับไม่พ้นเรื่องเพศเช่นเคย โดยเฉพาะ เรื่องเพศของวัยรุ่นหญิง เพราะตลอดทั้งปี 49 มีการเสนอข่าว "โคโยตีบุกวัด" บ้าง "คลิปวิดีโอโป๊ระบาด" บ้าง "พริตตี้นุ่งน้อยห่มน้อยโปรโมทรถยนต์" และล่าสุดส่งท้ายปีคือข่าว "แคมฟรอกโชว์ หวิว" ที่เป็นชุมชนของวัยรุ่นที่นิยมการสื่อสารและแสดงตัวตนในแบบออนไลน์ และกลายมาเป็นข่าวดังจนได้
เมื่อกระทรวงวัฒนธรรมออกมาแสดงความวิตกกังวลที่วัยรุ่นกำลังคลั่งไคล้การชมหรือ โชว์สัดส่วนผ่านโปรแกรมแคมฟรอก ข่าวเรื่องเพศดังกล่าวมักจะถูกสื่อและหน่วยงานรัฐเสนอในฐานะปรากฏการณ์สังคมเสื่อม สังคมทรามมาโดยตลอด น่าสนใจว่าทำไมพฤติกรรมทางเพศของผู้หญิงมักถูกใช้เป็นตัววัดระดับ ศีลธรรมของสังคมมากกว่าพฤติกรรมทางเพศของผู้ชาย หรือมุมมองแบบนี้สะท้อนถึงบรรทัดฐานหรือความคาดหวังของสังคมที่มองว่าผู้หญิงควรอยู่รักษาระยะห่างกับเรื่องเพศทุกชนิด จึงจะถูกจัด อยู่ในกลุ่มผู้หญิงดี ส่วนลูกผู้ชายต้องเชี่ยวชาญในเรื่องเพศ มีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน หรือมีเพศสัมพันธ์บ่อยๆ เพื่อแสดงความเป็นชายชาตรี แต่บรรทัดฐานเช่นนี้ก็นำไปสู่คำถามเช่นกันว่า เมื่อ ทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างพยายามปฏิบัติตัวตามความคาดหวังของสังคมแล้ว จะมีผู้หญิงดีหลงเหลืออยู่หรือ ในเมื่อผู้ชายก็พยายามจะแสดงตนว่าเป็นแมนเต็มตัว

ด้วยความห่วงใยในตัวผู้หญิง โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งถูกมองว่ามีความเปราะบางไม่เท่าทันโลก ตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเหยื่อของโทรศัพท์ชนิดถ่ายรูปได้ หรือโปรแกรม แคมฟรอก และอีกสารพัดเทคโนโลยีที่ทะยอยกันเปิดตัวอย่างไม่มีวันจบสิ้น รัฐจึงมีกลไกที่ว่ากันว่าเป็นไปเพื่อคุ้มครองผู้หญิง โดยการกันเรื่องเพศทุกชนิดออกจากตัวผู้หญิง เมื่อใดก็ตามที่เกิด สถานการณ์ที่วัยรุ่นไปข้องแวะกับเรื่องเพศ หน่วยเฝ้าระวังวัฒนธรรม (ทางเพศ) มักออกมาประนามหรือห้ามปรามเชิงขู่ ผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นการไล่ตามปัญหาไปเรื่อยๆ สุดแล้วแต่จะมี ปัญหาหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ปรากฏขึ้น จนล่าสุดทำให้โปรแกรมแคมฟรอกซึ่งเดิมเป็นที่รู้จักในวงจำกัดกลายเป็น โปรแกรมโด่งดังจนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างเสาะแสวงหา และดาวน์โหลดไว้ใน คอมพิวเตอร์ของตัวเอง

จากเหตุการณ์คลิปวิดีโอถึงแคมฟรอก และพริตตี้ถึงโคโยตี มาตรการที่หน่วยเฝ้าระวังวัฒนธรรมใช้ยังคงเป็นมาตรการเดิมๆ คือ การประนาม ตำหนิเทคโนโลยี และผู้หญิง โดยไม่ ได้ขุดลึกลงไปถึงรากเหง้าของปัญหาคือไม่ได้แตะต้องบรรทัดฐานทางเพศในสังคมไทยทั้งระบบเลย ยิ่งไปกว่านั้น มาตรการที่ใช้กลับไปตอกย้ำบรรทัดฐานทางเพศหลายประการที่เป็นข้อกำหนด พฤติกรรมของผู้หญิงดี และชายชาตรี กลายเป็นการสร้างความหมายขึ้นมาชุดหนึ่งว่าเมื่อผู้หญิงไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศถือเป็นความเสื่อมเสียอย่างร้ายแรง
ความหมายที่พยายามสร้างกันขึ้นนั้น หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว คงต้องยอมรับว่ากลับไปซ้ำเติมผู้หญิงด้วยซ้ำ เพราะแม้กระทั่งเมื่อเกิดเหตุการลวนลามทางเพศขึ้น ไม่ว่าจะ เป็นการข่มขืน อนาจาร แอบถ่ายรูปเพื่อแบล็คเมล์ ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อกลับกลายเป็นฝ่ายที่รู้สึกอับอาย และรู้สึกผิด ถูกเพื่อนบ้าน ญาติมิตรหรือคนใกล้ชิดมองด้วยสายตาแปลกๆ และจับกลุ่ม ซุบซิบนินทา จนยากที่จะกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความห่วงใยโดยบริสุทธิ์ใจ แต่อาจขาดกระบวนทัศน์ที่รอบคอบในเรื่องเพศภาวะและเพศวิถีของสังคมไทยนั้นก็ คงไม่สามารถโยนความรับผิดชอบให้ใครคนใดคนหนึ่งได้

การแก้ปัญหาในเรื่องนี้จึงต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ว่าปัญหาเรื่องเพศไม่ได้อยู่ที่พฤติกรรมทางเพศของคนใดคนหนึ่ง แต่ปัญหาอยู่ที่ระบบคิดของสังคมที่ได้รับการหล่อหลอมเข้าไปใน ระบบคิดของคนทุกเพศทุกวัย การแก้ปัญหาจึงไม่ใช่มุ่งไปที่ตัววัยรุ่น หรือผู้หญิงเพียงเท่านั้น แต่ต้องไปแก้ที่วิธีคิดของทั้งสังคมตั้งแต่คนสูงอายุ ผู้ใหญ่ ไปจนถึงเด็ก ซึ่งอาจมีข้อโต้แย้งอยู่เหมือน กันว่า ปัจจุบันมีหลักสูตรสอนเพศศึกษาในโรงเรียนบางแห่งแล้ว แต่คงต้องประเมินว่าสามารถทำให้วัยรุ่นรู้เท่าทันเรื่องเพศได้จริงหรือไม่ หรือเป็นการสอนให้ท่องจำระบบชีววิทยา และต้องยอมรับ ว่า วัยรุ่นไม่ได้มีชีวิตอยู่ในห้องเรียนเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มเพื่อนและการรับรู้ผ่านสื่อต่างๆ อย่างวัยรุ่นหญิงก็จะรับรู้ว่าต้องอวด "ผิวขาว สวย เนียน" ผ่านทางโฆษณาครีมบำรุงผิว หรือเรียนรู้ผ่านทาง ละครว่าคุณค่าของตนอยู่ที่การเป็นที่ต้องการของผู้ชาย ยิ่งได้เสพสื่อเหล่านี้ถี่เท่าไร ก็จะซึมซับไปโดยไม่รู้ตัว

ค่านิยมเรื่องเพศของสังคมที่ถ่ายทอดผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งการแข่งขันประกวดความงามต่างๆ ล้วนเป็นการสื่อสารมายังผู้คนในสังคมว่า ภาพลักษณ์ที่ดีของผู้หญิงคือต้องสวยและ "มีดีก็ต้องโชว์" การจะไปพร่ำบอกวัยรุ่นว่าอย่าไปเชื่อสื่อเหล่านี้ ก็คงไม่มีน้ำหนัก เพราะการรับรู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะกลายเป็นการซึมซับว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นค่านิยมหลัก เช่นนี้แล้วสื่อกระแสหลัก หรือแคมฟรอกที่อันตรายต่อสังคมมากกว่า สื่อกระแสหลักที่เป็นแหล่งสร้างค่านิยมยังไม่เคยถูกปฏิรูป

ทั้งที่สื่อเหล่านี้ถูกเข้าถึงได้ง่ายยิ่งกว่าแคมฟรอกซึ่งเป็นโปรแกรมที่จะเข้าใช้ได้ก็ต่อเมื่อมี เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มี กล้องติดตั้งอยู่ด้วย (ในกรณีที่ต้องการโชว์)และต่อพ่วงกับอินเทอร์เน็ต การเข้าถึงย่อมยากกว่า การซื้อหนังสือพิมพ์หัวสีเล่มละแปดบาทที่มีรูปผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อย แผ่นวีซี ดีโป๊แผ่นละไม่กี่บาทที่มีวางขายทั่วไป หรือนิตยสารต่างๆ ตามแผงหนังสือทั่วประเทศ เหมือนเป็นดาบสองคมเพราะสื่อประชาสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วย ความหวังดีก็อาจมีผลด้านลบในการเรียนรู้เรื่องเพศได้ หากไม่ได้ออกแบบอย่างรู้เท่าทัน มายาคติที่แฝงอยู่ในระบบคิด เรื่องเพศของสังคม เช่น การรณรงค์ให้ผู้ชาย ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อไปใช้บริการทางเพศ ในอีกด้านหนึ่งกลับเป็นการจับคู่ถุงยางอนามัย เข้ากับการบริการทางเพศ สิ่งที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้คือผู้ชายไม่ นิยมใช้ถุงยางอนามัยกับภรรยา หรือคู่รัก

ซึ่งส่งผลย้อนกลับให้เกิดการแพร่ระบาดของเอดส์ในหมู่ผู้หญิงนอกภาคบริการทางเพศและวัยรุ่นทั่วไปมากขึ้นอย่างน่าตกใจ หากมองว่าแคมฟรอกคือสื่อชนิดหนึ่ง ก็คงเป็นสื่อที่ไม่มีใครมาชี้ผิดชี้ถูกในเรื่องเพศ แต่เป็นสื่อที่เปิดให้ได้สัมผัส กับเรื่องเพศกันอย่างเต็มที่ สุดแล้วแต่ใครจะพกพาค่านิยมเรื่อง เพศแบบใดติดตัวมาด้วย เช่นนี้แล้วคงต้องตั้งคำถามว่า ใครคือเหยื่อของเทคโนโลยีสื่อสมัยใหม่กันแน่ ระหว่างสาวกแคมฟรอกกับระบบคิดเรื่องเพศของสังคมไทย หรือทั้งคู่? และคงถึงเวลาแล้ว ที่หน่วยเฝ้าระวังวัฒนธรรมจะกำหนดแผนแม่บทในการคุ้มครองวัยรุ่นอย่างแท้จริง

เป็นแผนแม่บทที่วางเป้าหมายไว้อย่างน้อยข้อหนึ่งคือ ต้องการให้วัยรุ่นเกิดค่านิยมใหม่ว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา ไม่มีอะไรลึกลับให้ต้องค้นหา เพียงแต่ต้องรู้ว่าจะมีวิถีทางเพศที่ปลอดภัยได้อย่างไร แผนแม่บทที่ จะจัดทำขึ้นนี้ ต้องพัฒนาโดยวัยรุ่น และผู้ที่มีความรู้ ประสบการณ์ และมีผลงานวิจัยในเรื่องภาวะ และวิถีทางเพศของมนุษย์เข้ามาร่วมพัฒนาด้วย เพื่อให้มาตรการของ รัฐไม่กลายเป็นแผ่นเสียงตกร่อง และไปตอกย้ำระบบคิดเรื่องเพศแบบทุกวันนี้ ซึ่งนำคนไปสู่อันตรายจากการท้องไม่พร้อม การทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย การติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์ และการ ถูกกระทำทางเพศจากคู่ ที่สำคัญ แผนแม่บทนี้ต้องเริ่มจากการปรับ กระบวนทัศน์ของบุคลากรภาครัฐเสียใหม่ ให้เข้าใจมายาคติที่ซุกซ่อนอยู่ในระบบคิดเรื่องเพศ และต้องสามารถมองเห็นผลลัพธ์ ของมาตรการที่ใช้ได้ ซึ่งหากทำได้จริง ก็จะไม่ต้องตระหนกตกใจทุกครั้งเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้น


 

สำรวจ 'Camfrog' โลกมืดใน Cyber Space ของวัยทีน

www.saijai.net โทร.0-2886-9991
ที่มาข่าวจาก หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ เสาร์ที่ 5 มกราคม 2550

"You" หรือ "พวกคุณ" คือบุคคลแห่งปี ของนิตยสารไทม์ ประจำปี 2549 ในฐานะ คนในยุคปัจจุบันเป็นผู้ครอบครองสื่อทั่วโลก และเป็นผู้กำหนดทิศทางประชาธิปไตยในยุคดิจิตอลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยการสร้างสรรค์และใช้เว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต จนทำให้เกิดเนื้อหาข่าวสารมากมายอย่างเว็บไซต์เครือข่ายบนอินเทอร์เน็ต "มายสเปซ" และเว็บไซต์แลกเปลี่ยนไฟล์วิดีโอ "ยูทิวบ์" เป็นต้น
แต่ "You" โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนในประเทศไทยกลับใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเล่นพนันฟุตบอล เข้าเว็บไซต์เพื่อดูภาพลามก โดยเฉพาะในยุคไร้พรมแดนได้ก้าวไปสู่การโชว์เนื้อหนังกันโจ๋งครึ่ม ...ไม่...ไม่ใช่แค่นั้น พวกเขาในโลกมืดที่ไปสร้างชุมชนคนในเว็บ โชว์กัน ถึงขนาดการสำเร็จความใคร่ รวมไปถึงการร่วมเพศ ไม่ว่าจะต่างเพศหรือเพศเดียวกัน ผ่านโปรแกรมวิดีโอ คอนเฟอเรนซ์ที่สุดอื้อฉาว นั่นคือ "แคมฟรอก" (Camfrog)

"แคมฟรอก" เป็นโปรแกรมแชตผ่านเว็บแคม (กล้องที่ติดกับคอมพิวเตอร์ที่ทำให้สามารถเห็นหน้าของคู่สนทนาอีกฝ่ายหนึ่ง) เป็นซอฟต์แวร์ชองบริษัท แคมแชร์ (Camshare) ผลิตออกมาเพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถแชร์เว็บแคม ผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ง่ายยิ่งขึ้น ส่วนใหญ่จะมีการพูดคุยและแสดงวิดีโอในหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว กีฬา ภาษา ดนตรี วัฒนธรรม หรือแม้แต่เรื่องราวที่สร้างความฮือฮามากที่สุดในเวลานี้คือ "เรื่องราวทางเพศ" มีการโชว์ภาพลามก ซึ่งกำลังระบาดในหมู่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา ในประเทศไทยพบว่า มีผู้ใช้โปรแกรมนี้มากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา และจีน โดยเฉลี่ยคนไทยเข้าไปใช้บริการถึงวันละ 1,000-2,000 คน และอยู่ดูกันตลอด 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว ดูกันนานกว่าประเทศอื่นๆ ในโลก ทั้งที่โปรแกรมนี้ใช้กันมานานทั้งในอเมริกา จีน สเปน เยอรมนี แต่ก็มีประชาชนให้ความสนใจเพียงวันละ 100-150 คน ดูกันเพียง 2-4 ชั่วโมงเท่านั้น

หลายคนที่เข้ามาใช้โปรแกรมแคมฟรอกเพื่อหาเพื่อนคุยแก้เหงา คลายเครียด รวมไปถึงการเข้ามาศึกษาพฤติกรรมการแสดงออก ที่ไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรม ศีลธรรมอันดีของสังคมไทย แต่สำหรับบางคน แคมฟรอกกลายเป็นช่องทางหรือเวทีการแสดงออก เพื่อให้ตนเองเป็นที่รู้จักหรือ "แจ้งเกิด"โดยคิดว่าการโชว์ตัวตนผ่านที่แห่งนี้ ซึ่งมีผู้คนสนใจดูเป็นจำนวนมาก ทำให้เป็นที่รู้จัก รายที่เคยโชว์การร่วมเพศ ก็จะมีซ้ำอีกรอบ 2 3 และ 4 แบบไม่อาย

สำหรับห้องสนทนาในแคมฟรอกแบ่งเป็น 2 หมวด คือ General และ 18+Only ห้องที่โชว์ลามกอนาจารจะอยู่ในหมวดหลัง และห้องที่กิตติศัพท์โด่งดังเป็นข่าวฉาวโฉ่คือ ห้อง "Junrai" เป็นห้องของคนไทยซึ่งใหญ่ที่สุดในหมวดหมู่ 18+Only มีผู้เล่นมากสุดขึ้นหลักพันเลยทีเดียว ยิ่งกว่านั้น ช่วงเวลาที่เล่นยังเป็นตอนกลางวันแสกๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการทำงาน นอกจากห้อง "Junrai" แล้วก็จะมีห้อง "MunzSudSud" ห้อง "xxxx Thai Girl Move xxxx" ห้อง "Gay Thai Cam" ห้อง "Chaina The GreatWall" ห้อง "Yed Hia" ห้อง "OoO CHINA Myth OoO" ห้อง "SiamX" ห้อง "SilkyWomen GoCracy" เป็นต้น การโชว์ในรูปแบบต่างๆ ในแคมฟรอก จะมี 2 รูปแบบ คือ แบบเห็นหน้าและไม่เห็นหน้า ซึ่งในแต่ละห้องจะมีการโชว์ทั้งสองรูปแบบปะปนกันไป และเป็นที่รู้กันว่าจะมีกฎของห้อง ทุกคนต้องปฏิบัติตามหากไม่ปฏิบัติตามก็จะถูก "เตะ" เป็นภาษาในการเล่นแคมฟรอก คือการถูกผู้ดูแลขับออกจากห้อง ตัวอย่างห้อง Thai GirL Move

"ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ โดยเฉพาะสาวๆ จะ move มาที่นี่แน่นอนครับ ห้องนี้มันเป็นกงกำกงเกวียน จากกันแล้วจะได้มาเจอกันอีก กฎของห้องนี้ ทุกคนควรอ่าน ห้ามบันทึกวิดีโอใดๆ ทุกชนิดจากภาพที่เผยแพร่ในห้องนี้โดยเด็ดขาด ห้ามพูดจาส่อเสียดให้เกิดการทะเลาะวิวาทหรือด่าดูหมิ่นผู้อื่นเด็ดขาด ห้ามสั่งสาวโชว์โดยเด็ดขาด และให้เกียรติสุภาพสตรีด้วย ห้ามนำโหวต โพสต์เว็บ แจกเบอร์โทร e-mail หน้าห้องโดยเด็ดขาด กฎต่างๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า"
นอกเหนือไปจากนักแสดงสดผ่านทางเว็บแคมแล้ว ในแคมฟรอกยังรวบรวมดีเจเสียงใสๆ ที่มักเป็นผู้สร้างสรรค์เสียงเพลง ที่กระตุ้นอารมณ์ ความครื้นเครง ของคนในห้องแชตรูมเอาไว้ โดยเนื้อเพลงที่เปิดจะเป็นเพลงใต้ดิน ที่นำมามิกซ์ให้มีเนื้อหาลามกหยาบคาย นอกจากนี้ยังมีข้อความชวนโหวต "ใครอยากให้น้อง hot girl ปลด กระดุมช่วยกด 1 ด้วยครับ" ชวนให้ติดตามและน่าขบคิดว่าผลโหวตจะออกมาเป็นอย่างไร หรืออยากรู้ตอนจบของผลโหวต เป็นการแสวงหา ความต้องการบางสิ่งบางอย่างจากคนแปลกหน้า ตามคำบอกเล่าผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์

โปรแกรมแคมฟรอกนี้ไม่มีใครได้รับเงินตอบแทน กลุ่มคนที่เป็นเจ้าของสร้างขึ้นมา เพื่อความสนุกเท่านั้น ถือได้ว่าเป็นการนำโปรแกรมแกรมคอมพิวเตอร์มาใช้ในทางที่ผิด สร้างค่านิยมผิดๆ ให้กับวัยรุ่น และเป็นการทำลายวัฒนธรรมของไทย ทั้งที่โดยเนื้อแท้แล้วโปรแกรมแคมฟรอกสามารถนำมาใช้ประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดประชุมผ่านอินเทอร์เน็ต การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสำหรับ ผู้พิการทางด้านร่างกายโดยการคุยกันด้วยภาษามือ นอกจากนี้ยังเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แต่ก็อย่างว่า เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่มีคุณประโยชน์นานัปการ แต่ถ้านำมาใช้ในทางที่ผิดก็ยากที่จะควบคุมผลร้าย ซึ่งจะตามมา